ผบ.ตร.วิทยุด่วน สั่งการเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยในสังกัด ห้ามเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2563 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีหนังสือวิทยุในราชการด่วนที่สุด เลขที่ 008.35/550 ลงวันที่ 27 ก.พ. ถึงผู้รับปฎิบัติ บช.น. ก. ภ.1-9 สตม. ทท. ปส. ส. สพฐ.ตร. สทส. ศ. รพ.ตร. สตส. จต. สง.ก.ตร. กมค. สงป. สกพ. สกบ. และ สยศ.ตร. ผบก.ในสังกัด หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผู้รับทราบ รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วยผบ.ตร. ในสายงาน มค. ใจความ อ้างถึง วิทยุตร. ด่วนที่สุดที่ 007.35/360 ลงวันที่ 7 ก.พ.63 สั่งการให้หน่วยต่างๆทราบถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่แพร่ระบาดในสาธารณรัฐประชาชนจีนและอีกหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เพื่อเตรียมพร้อมในการแก้ระบาดของโรค จึงให้ทุกหน่วยงานดำเนินการดังนี้
1.ข้าราชการตำรวจทุกหน่วยและครอบครัว ควรปฎิบัติดังนี้ 1.1 หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่แออัด พื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น หมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1.2 หลีกเลี่ยงหรืองดการเดินทางไปต่างประเทศ กรณีหากจำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคฯ ขอให้เตรียมความพร้อมด้านการป้องกันตนเอง เช่น เตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หน้ากากอนามัย และศึกษาคำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด โดยระหว่างการเดือนทางขอให้ระมัดระวังตนเองเป็นพิเศษ หากมีอาการผิดปกติ ให้ประสานขอความช่วยเหลือกับสถานฑูตในประเทศนั้นๆ 1.3 เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทยแล้ว เพื่อความปลอดภัยต่อส่วนรวม ผู้เดินทางควรเฝ้าระวังอาการของตนเองในพื้นที่อาศัยเป็นเวลา 14 วัน 1.4 หากพบอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ไอ จาม หายใจเหนื่อยหอบ ให้ไปพบแพทย์โดยทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการับการรักษาต่อไป
ในส่วนของโรงพยาบาลตำรวจที่ดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มารับบริการและพิจารณาออกหน่วยรักษาพยาบาลเคลื่อนที่ตามความเหมาะสม จัดหาและเตรียมเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ เตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เตรียมการส่งกลับสายแพทย์ และสนับสนุนภารกิจการเคลื่อนย้ายศพเมื่อได้รับการร้องขอ
ส่วนสำนักงานกองพิสูจน์หลักฐานขอให้ดำเนินการสนับสนุนภารกิจการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล กรณีมีผู้เสียชีวิตที่ไม่สามารถะบุตัวตนได้ เมื่อได้รับการร้องขอ
28 ก.พ.2563- นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท.0204.1/ว 1208 เรื่อง แนวปฏิบัติการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยระบุว่าด้วยขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ของประเทศไทยอยู่ในระยะ 2 คือเริ่มมีการติดเชื้อจากคนสู่คนภายในประเทศ และได้ยกระดับการแจ้งเตือนการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 เป็นระดับ 3 คือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่พบการระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าว
เพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวของบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในสถานการณ์ดังกล่าว และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของการติดเชื้อ COVID-19 กระทรวงมหาดไทยจึงได้กำหนดแนวปฏิบัติในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ดังนี้
1. ในกรณีเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สาธารณรัฐสิงคโปร์ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ให้ปฏิบัติ ดังนี้
1.1. ไม่อนุมัติ หรือ อนุญาตให้ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยลาพักผ่อนเพื่อเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยง
1.2 ห้ามข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปราชการต่างประเทศยังประเทศกลุ่มเสี่ยง นอกจากมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด หรือเป็นการเข้าร่วมการประชุมตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ให้พิจารณาตามความจำเป็น เหมาะสม ในกรณีที่ได้รับการอนุมัติการเดินทางไปราชการต่างประเทศแล้ว อาจพิจารณายกเลิก ระงับ หรือเลื่อนการเดินทางให้พ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ออกไปก่อน และจะต้องมีมาตรการป้องกันตนเองจากการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
2. ในกรณีเดินทางไปต่างประเทศที่ไม่ใช่ประเทศกลุ่มเสี่ยง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสม ในการเดินทางไปต่างประเทศของข้าราชการ และบุคลากรในสังกัด
3.ในกรณีที่พบว่าข้าราชการและบุคลากรในสังกัดเดินทางกลับจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มเสี่ยง ให้กำชับข้าราชการและบุคลากรดังกล่าวเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อย่างน้อย 14 วัน หลังจากเดินทางกลับถึงประเทศไทย และกรณีพบว่ามีไข้หรือมีอาการที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคให้รีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแจ้งประวัติการเดินทางให้ทราบทันที
4.ในส่วนจังหวัดชายแดนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ในการควบคุม กำกับดูแลการเดินทางเข้าออกจุดผ่านแดนต่างๆ ทั้งในจุดผ่านแดนที่ได้กำหนดให้มีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศไว้แล้ว จำนวน 68 แห่ง ส่วนกรณีจุดผ่านแดนที่ไม่ได้กำหนดให้มีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ อาทิ จุดผ่อนปรนทางการค้า ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามตามแนวชายแดนต่างๆ ขอให้กำชับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้เข้มงวดในการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าออกอย่างใกล้ชิด
จึงเรียนมาเพื่อทราบและแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดทราบและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
By: Bell Boy
ขอบคุณ ข้อมูลจาก SOURCE
สนใจแพคเกจท่องเที่ยว, ตั๋วเครื่องบินทั่วโลก หรือบัตรท่องเที่ยวต่างๆ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ 02-2945598, 092-294 5598
หรือ คลิ๊ก https://www.itravelroom.com/